ค้นหา
ภาษาไทย
สินค้าตามประเภท
    เมนู ปิด
    กลับไปทั้งหมด

    แถบผ้าสะท้อนแสง เลือกอย่างไรถึงจะปลอดภัย

    แถบผ้าสะท้อนแสง เลือกอย่างไรถึงจะปลอดภัย

    อันตรายจากการทำงานในเวลากลางคืนหรือในสภาวะแสงน้อย ในเวลากลางวันมีปริมาณแสงสว่างมาก วัตถุบนถนนจะถูกมอง เห็นได้ชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของดวงตามนุษย์ในการแยกแยะรายละเอียดขนาดเล็กในภาพที่เห็น ขณะที่ในเวลากลางคืนความแตกต่างของความสว่างจะมีความสำคัญมากกว่า ดังนั้นการถูกมองเห็นอย่างชัดเจนในเวลากลางคืนจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการสร้างความแตกต่างของความสว่างให้ปรากฏแก่ผู้มองวัตถุ และสามารถแยกแยะได้ว่านี่คือมนุษย์หรือสิ่งของ

    สำหรับช่วงเวลากลางคืน การเพิ่มความสามารถในการถูกมองเห็นของวัตถุ ต้องใช้วัสดุเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นหรือวัสดุสะท้อนแสงเข้ามาช่วย ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้

    1. ต้องมีความสว่างเพียงพอเมื่ออยู่บนร่างกายของพนักงาน เพื่อให้สามารถถูกมองเห็นได้จากระยะปลอดภัยที่ต้องการ

    2. ต้องถูกมองเห็นได้อย่างเด่นชัดจากทุกทิศทางไม่ว่าพนักงาน จะเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวในอิริยาบถใด (ให้ความปลอดภัยแบบ 360 องศา)

    3.ต้องมีการออกแบบรูปแบบในการติดวัสดุสะท้อนแสงลงบนเสื้อผ้า ให้ผู้มองเห็นรับรู้ได้ว่าวัตถุที่เห็นเด่นชัดนั้นคือมนุษย์ นั่นคือ ผู้สังเกตจะต้องแยกแยะได้ว่าที่เห็นนั้นคือพนักงานมิใช่เครื่องจักร หรือ รถยนต์ หรือวัตถุอื่นใด

    4. สามารถแสดงให้ผู้มองเห็นรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพนักงานได้มากที่สุด และแม้ไม่มีการเคลื่อนไหว ผู้สังเกตก็จะต้องสามารถเห็น พนักงานได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

    เคยสังเกตหรือนึกสงสัยกันหรือไม่ ว่าเสื้อสะท้อนแสงที่เราเคยใส่หรือเคยเห็น มันสะท้อนแสงได้อย่างไรกัน ในตัวแถบของเสื้อมีการติดวัสดุอะไรถึงสะท้อนแสงออกมาได้

     แถบสะท้อนแสงสำหรับติดบนเสื้อผ้าหรือชุด มีวัสดุสะท้อนแสงใช้กระบวนการทางฟิสิกส์ที่รู้จักกันในชื่อ Retroreflection โดยใช้เม็ดลูกแก้วทรงกลมขนาดเล็ก (Tiny glass beads) หรือไมโครปริซึมขนาดเล็ก (Prismatic elements) จำนวนหลายล้านชิ้น สะท้อนแสงที่ตกกระทบให้โฟกัสกลับไปในทิศทางที่แสงถูกส่องเข้ามา ช่วยให้พนักงานที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ติดด้วยแถบสะท้อนแสง ถูกสังเกตเห็นจากผู้ขับขี่รถได้ชัดเจนจากระยะที่ไกลกว่า จึงมีเวลาในการชะลอ หยุด หรือเบี่ยงเส้นทางหลบเลี่ยงได้ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ  มีการประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเย็บติดกับเสื้อผ้า การเชื่อมติด มี 2 แบบ คือ 

    1. เทคโนโลยีเม็ดลูกแก้ว (Tiny glass beads) แสงที่เข้ามาจะถูกหักเหเมื่อผ่านผิวด้านหน้าของลูกแก้วแล้ว สะท้อนกลับเมื่อกระทบกับกระจกที่อยู่ด้านหลังลูกปัด โดยแสงที่สะท้อน กลับจะหักเหอีกครั้งเมื่อวิ่งผ่านผิวด้านหน้าของลูกแก้วกลับออกไป วัสดุสะท้อนแสงที่ใช้เทคโนโลยีเม็ดลูกแก้ว มีลักษณะเด่น ดังนี้

    • เรียบ ให้ความรู้สึกเหมือนเนื้อผ้าเมื่อสัมผัส
    • มีหน้ากว้างและรูปแบบให้เลือกหลากหลาย
    • ใช้งานง่ายและสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
    • ใช้งานในสภาวะแวดล้อมที่เปียกชื้นได้
    • ทนทาน สามารถซักได้ด้วยเครื่องซักผ้าทั้งชนิดธรรมดาและ ชนิดอุตสาหกรรม

    2. เทคโนโลยีปริซึม(Prismatic elements) ปริซึมขนาดเล็กแบบมุมลูกบาศก์ ถูกจัดวางเรียงกันจนเป็นแผ่น อย่างเป็นระเบียบ ขณะถูกมองเห็นใน เวลากลางวัน ปริซึมแก้วขนาดเล็กแต่ละอันจะมีผิวสะท้อนแสงที่ตั้งฉาก กัน 3 อัน แสงที่ผ่านเข้ามาจะหักเหผ่านพื้นผิวแต่ละอันและสะท้อน กลับไปในทิศทางของกำเนิดแสง เหมือนลูกบอลกระเด้งกลับทางเดิมที่มุมของผนัง แถบสะท้อนแสงที่ใช้เทคโนโลยีปริซึม มีลักษณะเด่น ดังนี้

    • เป็นชนิดสีฟลูออเรสเซนต์
    • ให้ความรู้สึกมันวาว
    • ใช้งานง่ายและสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
    • ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ได้ดี เนื่องจากมีแผ่นฟิล์ม พลาสติกปิดด้านหน้า
    • ทนทาน และสามารถซักทำความสะอาดได้ 

    มาตรฐานสำหรับวัสดุสะท้อนแสง

    เสื้อผ้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นเพื่อความปลอดภัยของผู้สวมใส่ในการปฏิบัติงานตามมาตรฐาน ANSI 107/ISEA มีข้อกำหนดสำคัญ คือ ชุดต้องมองเห็นได้ 360 องศา มองเห็นได้จากทุกทิศทางไม่ว่าจะติดด้วยวัสดุสะท้อนแสงหรือใช้วัสดุที่ ถูกมองเห็นได้ง่าย ที่ช่วยให้สัญญาณบ่งบอกตำแหน่งของผู้สวมใส่โดยผู้สังเกตด้วยตา ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณถนนและไหล่ทางทุกคนรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงต้องสวมใส่ชุดเครื่องแบบที่ผ่านมาตรฐานนี้ ตามมาตรฐาน ANSI/ISEA 107 จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับชั้น (Class) ได้แก่ 1 2 หรือ 3 ขึ้นกับพื้นที่ของวัสดุสะท้อนแสงที่ติดบนชุดกับพื้นที่เสื้อผ้าทั้งชุด ซึ่งจะช่วยให้สามารถเลือกใช้ชุดเครื่องแบบได้ถูกต้องเหมาะสมกับงาน สภาพแวดล้อม และความเสี่ยงโดย ระดับชั้น (Class ) ที่สูงกว่าจะมีพื้นที่ของวัสดุสะท้อนแสงติดบนชุดมากกว่า ดังตาราง ต่อไปนี้

    ชั้น

    (Class)

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    1

    • ผู้ปฏิบัติงานสามารถถูกมองเห็นได้อย่างเด่นชัดจากผู้ใช้รถใช้ถนน 
    • สามารถแยกแยะผู้ปฏิบัติงานในสภาวะที่มีการสัญจรโดยสามารถ บอกตำแหน่งที่ผู้ปฏิบัติงานยืนอยู่ได้ 
    • พื้นหลังหรือสภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อน 
    • ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถยนต์ไม่เกิน25 ไมล์ต่อชม. (40กม.ต่อชม.)

    2

    • สามารถถูกมองเห็นในขณะทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดีเนื่องจาก สภาพอากาศ 
    • พื้นหลังหรือสภาพแวดล้อมโดยรอบมีความซับซ้อน 
    • พนักงานปฏิบัติงานที่มีส่วนเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้รถใช้ถนน 
    • ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถยนต์25 – 50 ไมล์ต่อชม. (40 – 80กม.ต่อชม.) 
    • ผู้ปฏิบัติงานทำ งานบนหรือใกล้เคียงกับพื้นผิวจราจร
    • เหมาะกับงานจราจรที่อยู่ใกล้ท้องถนน

    3

    •ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถยนต์มากกว่า 50 ไมล์ต่อชม. (80กม.ต่อชม.) 
    • ผู้ปฏิบัติงานทำงานที่มีความยุ่งยากซับซ้อน 
    • ผู้ปฏิบัติงานจะต้องถูกเห็นอย่างเด่นชัดทั่วทั้งร่างกายและบ่งบอก ได้ว่าเป็นคนจากระยะทางห่างอย่างน้อย390 เมตรก่อนจะถึงตัว
    • เหมาะกับงาน พนักงาน ดับเพลิง หน่วยกู้ภัย หน่วยฉุกเฉินต่างๆ

    ค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสง

    ค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสง ( coefficient of retroreflection ) หรือ R2 มีหน่วยเป็นแคนเดลาต่อลักซ์ต่อตารางเมตร 
    มุมแสงที่ตกกระทบ (Entrance angle ) มุมที่เกิดขึ้นระหว่างแนวของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงทำมุมตกกระทบกับแนวตั้งฉากผิวหน้าของแผ่นสะท้อนแสง มีหน่วยเป็นองศา (°)
    มุมสังเกต (Observation angle ) มุมที่เกิดขึ้นระหว่างแนวของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงไปยังแผ่นสะท้อนแสงกับแนวแสงของผู้สังเกต มีหน่วยเป็นองศา (°)

     

    จากรูป มุมสังเกต และขนาดรถ มีผลต่อการมองเห็นวัตถุที่สะท้อนแสงกลับมา ดังรูปข้างต้น คือระยะทางเท่ากันแต่มุมไม่เท่ากัน สังเกตว่าคนขับรถเก๋งที่นั่งต่ำกว่าและใกล้ไฟหน้ารถมากกว่ารถบรรทุก จะมีมุมสังเกต แค่ 4° และแคบกว่าคันอื่น นั้นแสดงว่ายิ่งระยะแคบยิ่งจะเห็นสิ่งที่สะท้อนกลับมาเห็นได้ชัดกว่ารถคันอื่นและขนาดของรถ มีผลต่อการมองเห็นวัตถุที่สะท้อนแสงกลับมา

    จากรูปข้างต้น รถอยู่คนละช่องแต่ระยะเท่ากัน สังเกตว่า มีมุมตกกระทบ (Entrance Angle) ไม่เท่ากัน แสดงว่า ยิ่งมุมตกกระทบมีระยะที่แคบหรือน้อย การมองเห็นวัตถุที่สะท้อนแสงกลับมายิ่งชัดเจนกว่ามุมที่กว้าง

    มุมสังเกต

    (Observation angle)

    มุมตกกระทบ (Entrance angle )

    20°

    30°

    40°

    0.2°

    330

    290

    180

    65

    0.33°

    250

    200

    170

    60

    25

    15

    12

    10

    1.5°

    10

    7

    5

    4

    จากตารางข้างบน มุมสังเกต คือ 0.2° และมุมตกกระทบ คือ  ได้เท่ากับ 330 แสดงว่า มุมสังเกต และมุมตกกระทบยิ่งน้อยและแคบความชัดเจนในการมองเห็นยิ่งมาก วัตถุที่สะท้อนกลับมายิ่งชัดเจน แต่ถ้ามุมสังเกตและมุมตกกระทบมาก คือ มุมสังเกต เท่ากับ 1.5° และ มุมตกกระทบ เท่ากับ 40° ได้เท่ากับ 4 แสดงว่า ยิ่งมุมสังเกตและมุมตกกระทบมาก ความชัดเจนในการมองเห็นวัตถุที่สะท้อนกลับมาจะน้อยและไม่ชัดเจน

     

    ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : https://www.otintertrade.com/blog-event/article/227-แถบผ้าสะท้อนแสง-เลือกอย่างไรถึงจะปลอดภัย.html

    ความคิดเห็น
    แสดงความคิดเห็น ปิด
    *